อย่าชะล่าใจ!! อาการปวดหัว ถ้าเป็นบ่อย
อย่าแค่ซื้อยาแก้ปวดมากิน เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่มาของโรคต่อไปนี้
เชื่อว่าใครหลายคนต่างต้องเคยมีอาการแบบนี้อยู่บ่อยๆ นั่งเฉยๆ
ก็รู้สึกปวดหัว หัวเราะก็ชักจะปวดหัว ยิ่งต้องทำงานหนัก คิดเยอะ เครียด
ก็ยิ่งทำให้ปวดหัวไปกันใหญ่ หรือในบางครั้งต้องเจอกับสภาวะที่กดดันมากๆ
ก็ยิ่งปวดหัว ปวดตึ้บๆ ปวดหน่วงๆ เดี๋ยวปวด เดี๋ยวหาย ไม่สม่ำเสมอ
บางคนก็แค่ซื้อยาแก้ปวดมากิน แต่รู้หรือไม่ว่านั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคต่างๆได้
สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด
ทราบว่าไม่มีความผิดปกติของโครงสร้างทางกาย (รวมทั้งสมอง) แต่ทุกครั้งที่กำเริบ
จะมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและกลไกทางประสาทภายในสมองและบริเวณใบหน้า
กล่าวคือ หลอดเลือดภายในกะโหลกศีรษะหดตัว ในขณะที่หลอดเลือดภายนอกกะโหลกศีรษะ
(เช่น ที่ขมับ) พองตัว และประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้นให้เกิดการเจ็บปวด
ทำให้มีอาการปวดศีรษะที่มีลักษณะจำเพาะและอาการต่างๆ ร่วมด้วย โรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม
พบว่าประมาณร้อยละ 70
ของผู้ป่วยมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นไมเกรนด้วย
วิธีการรักษา :
จะขึ้นอยู่กับความถี่และความรุนแรงของการปวดศีรษะ
รวมไปถึงข้อบ่งชี้ทางการแพทย์อื่นๆ
ซึ่งการรักษาบางชนิดอาจไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร และเด็ก
โดยแพทย์จะหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดให้แก่ผู้ป่วย
ปวดหัวไซนัส (Sinusitis)
อาการปวดหัวจากไซนัสอักเสบมีความคล้ายคลึงกับอาการหวัดทั่วไปและอาการปวดหัวไมเกรนมากจนแทบแยกไม่ออก
แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไซนัสอยู่แล้วอาจคาดเดาไปก่อนได้ว่า ตัวเองน่าจะมีอาการปวดหัวจากผลกระทบของโรคไซนัสอักเสบ
ซึ่งโดยส่วนมากจะรู้สึกปวดหน่วงๆ บริเวณหน้าผาก
ร้อนผ่าวกระบอกตาลามไปถึงโหนกแก้มเลยทีเดียว
วิธีรักษา :
โดยปกติแล้วหากรักษาโรคไซนัสให้หายเป็นปกติได้ อาการปวดหัวก็จะหายไปพร้อมกัน
หรือบางรายที่อาการไซนัสไม่รุนแรง ร่างกายจะสามารถรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งยาใดๆ
- ปวดหัวชนิดคลัสเตอร์
(Cluster Headache)
อาการปวดศีรษะในแต่ละครั้งจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน
ราว 5 นาที หรือสูงสุด 3 ชั่วโมง
แต่จะรู้สึกปวดหัวแบบทรมานเหมือนจะตายเลยทีเดียว
และอาการปวดจะเกิดขึ้นบ่อยแต่เป็นเวลาที่แน่นอน
และมักจะมีอาการน้ำตาไหลข้างเดียวและมีเส้นเลือดแตกในตา ทำให้เกิดอาการตาแดง
วิธีรักษา :
อาการปวดหัวชนิดคลัสเตอร์สามารถรักษาและบรรเทาอาการได้โดยใช้ยากลุ่มทริปเทนต์ (Triptan)
หรือยารักษาโรคไมเกรน และการสูดดมออกซิเจน ขนาด 10 ลิตรผ่านหน้ากากให้ออกซิเจนก็ได้
- ปวดหัวในช่วงรอบเดือน
(Menstrual headaches)
อาการปวดหัวชนิดนี้สงวนสิทธิ์เพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ
เนื่องจากเป็นอาการปวดศีรษะในช่วงระหว่างมีรอบเดือน จะรู้สึกเหมือนเป็นไข้ทับระดู
เป็นหนึ่งสัญญาณของอาการ PMS โดยอาการปวดหัวชนิดนี้จัดว่าเป็นไมเกรนอย่างหนึ่ง
ซึ่งอาจเกิดก่อนมีประจำเดือนหรือหลังเป็นประจำเดือนประมาณ 2-3 วัน
วิธีรักษา :
แพทย์แนะนำให้ผู้หญิงที่มักเกิดอาการ PMS อย่างรุนแรงทุกครั้งที่เป็นประจำเดือนรับประทานแมกนีเซียมเยอะๆ
โดยอาจจะเลือกรับประทานแมกนีเซียมจากอาหาร เช่น กล้วย, อะโวคาโด,
ถั่ว, เม็ดมะม่วง, โยเกิร์ต,
เต้าหู้, ปลาทูน่า เป็นต้น
หรือใครจะเลือกกินหาแมกนีเซียมในรูปแบบวิตามินก็ได้เช่นกัน
-
ปวดหัวจากฤทธิ์คาเฟอีน (Caffeine headache)
มีอาการปวดหัวตื้อๆ หนักหัวเหมือนร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ
บางรายอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะเพิ่มด้วยอีกอย่าง หรือไม่ก็รู้สึกปวดกระบอกตาตุบๆ
ตลอดเวลา
วิธีรักษา : นอกจากการรับประทานยาแก้ปวดทั่วไป
อีกทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ก็คือการลดปริมาณคาเฟอีน
นั่นก็หมายความว่าต้องค่อยๆ ลดปริมาณกาแฟในแต่ละวันให้เหลือแค่ 2 แก้วต่อวันเป็นอย่างมาก
- ปวดหัวเรื้อรัง
(Chronic daily headache)
ปวดหัวติดต่อกันมากกว่า 15 วันต่อเดือน
และปวดอย่างนี้เรื่อยๆ เกิน 3 เดือน
ในบางรายอาจมีอาการไข้และปวดเมื่อยบริเวณคอและไหล่ร่วมด้วย
วิธีรักษา :
เริ่มแรกควรหยุดใช้ยาแก้ปวดที่กินเป็นประจำก่อน จากนั้นอาจรักษาโดยใช้ยาแก้อาการเศร้าซึม
ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ เช่น อะทีโนลอล (Atenolol), เมโทโพรลอล
(Metoprolol), โพรพาโนลอล (Propanolol) ซึ่งเป็นยาที่แพทย์ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงและโรคไมเกรน
หรือยาแก้อาการชัก เช่น กาบาเพนติน (Gabapentin), โทพิราเมต
(Topiramate) แม้กระทั่งยาแก้ปวดอย่าง นาโพรเซน (Naproxen)
และการทำโบท็อกซ์บรรเทาอาการปวด
- ปวดหัวอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน
(Emergency headache)
ปวดหัวอย่างรุนแรงโดยฉับพลัน หน้ามืด
และรู้สึกปวดหัวเหมือนหัวจะระเบิด บางรายมีไข้และความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
หรืออาการปวดเกิดขึ้นหลังจากได้รับแรงกระแทกบริเวณศีรษะ
รวมทั้งภายหลังเคลื่อนไหวศีรษะเร็วและแรง อีกทั้งยังอาจปวดคอ เกิดอาการชาที่ใบหน้า
ลิ้น และปาก จนส่งผลกระทบกับการพูด พร้อมทั้งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
วิธีรักษา :
เมื่อเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงฉับพลัน วิธีที่ดีที่สุดคือรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยด่วน
โดยเฉพาะคนไข้ที่หมดสติไปแล้วด้วย
- ปวดหัวจากความเครียด
(Tension headache)
จะมีความรู้สึกปวดหนักๆ ที่ขมับทั้งสองข้าง
เหมือนมีแรงดันจากภายในแต่ไม่ปวดแบบตุบๆ อาจเกิดตั้งแต่ระดับน้อย ปานกลาง และมาก
หรือบางรายอาจรู้สึกปวดที่ต้นคอ หลัง และไหล่ร่วมด้วย
วิธีรักษา :
ในเบื้องต้นสามารถรักษาโดยใช้ยาแก้ปวดจำพวกไทลินอล, แอสไพริน
และไอบูโพรเฟนได้ หรือจะไปนวดคลายกล้ามเนื้อก็ได้เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ปริมาณยาแก้ปวดที่จะกินควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์และเภสัชกรด้วยนะคะ
***อย่าไรก็ตาม เราทุกคนต้องรุ้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังมีสภาพเช่นไร
ทนไหวไหม ควรสำรวจตัวเองด้วยว่า ตัวเองมีอาการแบบไหน บ่อยไหม
เพื่อที่เวลาไปหาหมอจะได้อธิบายได้ถูกต้อง